น้ำผึ้งเป็นของหวานธรรมชาติที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ผู้ใหญ่หลายคนรับประทานน้ำผึ้งเพื่อสุขภาพ จึงเป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่หลายท่านสงสัยว่า “ทารกหรือเด็กแรกเกิดสามารถรับประทานน้ำผึ้งได้หรือไม่” คำถามนี้สำคัญมากเพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับความปลอดภัยของลูกน้อย
ทีมงานสุวรรณฟาร์มในฐานะผู้ผลิตน้ำผึ้งแท้มากกว่า 20 ปี มีความรับผิดชอบที่จะให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนแก่ผู้บริโภค วันนี้เราจะอธิบายอย่างละเอียดว่าทำไมทารกจึงไม่ควรรับประทานน้ำผึ้ง พร้อมทั้งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
บทความนี้เหมาะสำหรับพ่อแม่มือใหม่ ผู้ดูแลเด็ก ผู้ประกอบการร้านอาหารและคาเฟ่ที่มีเมนูสำหรับเด็ก รวมถึงนักท่องเที่ยวที่ต้องการซื้อน้ำผึ้งเป็นของฝากแต่กังวลเรื่องความปลอดภัย
คำตอบสั้นๆ ทารกต่ำกว่า 1 ปี ห้ามรับประทานน้ำผึ้งโดยเด็ดขาด

คำตอบคือ “ไม่ได้” องค์กรสุขภาพโลกทั้งหลาย รวมถึงกระทรวงสาธารณสุขไทย สมาคมกุมารแพทย์สหรัฐอเมริกา (AAP) และองค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) มีความเห็นตรงกันว่า ทารกและเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี ไม่ควรรับประทานน้ำผึ้งในทุกกรณี
นี่ไม่ใช่เรื่องของคุณภาพน้ำผึ้งหรือว่าน้ำผึ้งแท้หรือปลอม แม้แต่น้ำผึ้งแท้ระดับพรีเมียมจากสุวรรณฟาร์มที่ผ่านมาตรฐานสูงสุด ก็ยังไม่เหมาะสำหรับทารกต่ำกว่า 1 ปี เหตุผลสำคัญมาจากความเสี่ยงต่อโรคพิษอาหารจากเชื้อคลอสตริเดียมโบทูลินัม (Infant Botulism)
ทีมงานสุวรรณฟาร์มขอย้ำว่าการให้ความรู้นี้ไม่ได้เป็นการลดคุณค่าของน้ำผึ้ง แต่เป็นการให้ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อความปลอดภัยของเด็ก เพราะเราเชื่อว่าผู้บริโภคที่มีความรู้จะสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย
เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ทำไมทารกจึงไม่ควรรับประทานน้ำผึ้ง
1. ความเสี่ยงจากโรคพิษอาหารในทารก (Infant Botulism)
โรคพิษอาหารในทารกเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Clostridium botulinum ซึ่งสามารถอยู่ในน้ำผึ้งได้ในรูปของสปอร์ (spore) เชื้อนี้ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใหญ่หรือเด็กโตเพราะระบบย่อยอาหารที่เจริญเต็มที่สามารถทำลายสปอร์เหล่านี้ได้
แต่สำหรับทารกที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี ระบบทางเดินอาหารยังไม่เจริญสมบูรณ์ ปริมาณกรดในกระเพาะอาหารยังไม่เพียงพอที่จะทำลายสปอร์ของเชื้อ Clostridium botulinum เมื่อสปอร์เข้าสู่ลำไส้ของทารก มันจะเจริญเติบโตและผลิตสารพิษโบทูลิน (Botulinum toxin) ซึ่งเป็นพิษรุนแรงที่โจมตีระบบประสาท
2. อาการของโรคพิษอาหารในทารก
อาการมักเริ่มปรากฏภายใน 3-30 วันหลังจากรับประทานน้ำผึ้ง ซึ่งทำให้พ่อแม่หลายคนไม่รู้ว่าลูกป่วยเพราะน้ำผึ้ง อาการที่ควรสังเกต ได้แก่:
อาการเริ่มต้น
- ท้องผูกที่รุนแรงและผิดปกติ (บางครั้งเป็นสัญญาณแรก)
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง เด็กดูเหนื่อยล้าผิดปกติ
- ร้องไห้เสียงเบาและอ่อนกว่าปกติ
- ดูดนมไม่ได้หรือกลืนลำบาก
- หน้าตาไม่มีแสดงออกทางสีหน้า (facies mask-like)
อาการที่รุนแรง
- หายใจลำบากหรือหยุดหายใจ
- กล้ามเนื้อทั่วร่างอ่อนแรงมาก เหมือนตุ๊กตาผ้า
- เปลือกตาตก ม่านตาขยาย
- ควบคุมการเคลื่อนไหวศีรษะไม่ได้
โรคนี้ร้ายแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ หากสังเกตอาการเหล่านี้ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที การรักษาต้องอาศัยการดูแลในโรงพยาบาล บางรายอาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
3. ข้อมูลสถิติที่น่าตกใจ
จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา (CDC) พบว่า:
- ในสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยโรคพิษอาหารในทารกประมาณ 100-150 รายต่อปี
- น้ำผึ้งเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของโรคนี้
- ประมาณ 15-20% ของผู้ป่วยมีประวัติรับประทานน้ำผึ้ง
- อัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้อยู่ที่ 1-3% แม้จะได้รับการรักษา
ทีมงานสุวรรณฟาร์มรวบรวมข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อสร้างความหวาดกลัว แต่เพื่อให้ผู้บริโภคตระหนักถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามคำแนะนำด้านความปลอดภัย
คำแนะนำจากองค์กรสุขภาพชั้นนำทั่วโลก
สมาคมกุมารแพทย์สหรัฐอเมริกา (American Academy of Pediatrics)
AAP ระบุชัดเจนว่า “ไม่ควรให้น้ำผึ้งแก่ทารกที่มีอายุต่ำกว่า 12 เดือนในทุกกรณี” รวมถึงการใช้น้ำผึ้งในการปรุงอาหาร ทาบนจุกนม หรือใช้เป็นยารักษาไอในเด็กเล็ก
องค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA)
FDA เตือนว่าแม้น้ำผึ้งที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน (pasteurized honey) ก็ยังมีความเสี่ยง เพราะสปอร์ของเชื้อ Clostridium botulinum สามารถอยู่รอดได้แม้ในอุณหภูมิสูง
กระทรวงสาธารณสุขไทย
กระทรวงสาธารณสุขของไทยให้คำแนะนำสอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยแนะนำว่า:
- เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ไม่ควรรับประทานน้ำผึ้ง
- ควรเริ่มให้น้ำผึ้งได้เมื่อเด็กอายุครบ 1 ปีขึ้นไป
- เริ่มให้ในปริมาณเล็กน้อยและสังเกตอาการแพ้
องค์การอนามัยโลก (WHO)
WHO จัดน้ำผึ้งเป็นหนึ่งในอาหารที่มีความเสี่ยงสูงสำหรับทารก และแนะนำให้หลีกเลี่ยงการให้น้ำผึ้งแก่เด็กเล็กโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีระบบสาธารณสุขไม่เพียงพอ
สถานการณ์ที่พ่อแม่มักเข้าใจผิด
เข้าใจผิดที่ 1 : “น้ำผึ้งแท้คุณภาพดีก็ปลอดภัยสำหรับทารก”
ความจริง: ไม่ว่าจะเป็นน้ำผึ้งแท้ระดับพรีเมียม น้ำผึ้งออร์แกนิก หรือน้ำผึ้งที่มีราคาแพงแค่ไหน ก็ยังมีความเสี่ยงเท่าเดิม เพราะสปอร์ของเชื้อ Clostridium botulinum เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่เกี่ยวกับคุณภาพหรือความสะอาดของน้ำผึ้ง
ทีมงานสุวรรณฟาร์มผลิตน้ำผึ้งคุณภาพสูงและผ่านมาตรฐานความปลอดภัย แต่เราก็ยังคงแนะนำอย่างชัดเจนว่าไม่ควรให้แก่ทารกต่ำกว่า 1 ปี นี่คือความรับผิดชอบของผู้ผลิตที่ดี
เข้าใจผิดที่ 2 : “น้ำผึ้งที่ผ่านการต้มหรือนำไปปรุงอาหารแล้วปลอดภัย”
ความจริง: การต้มหรือการนำไปปรุงอาหารไม่สามารถทำลายสปอร์ของเชื้อได้ สปอร์มีความทนทานต่อความร้อนสูงมาก ต้องใช้อุณหภูมิสูงกว่า 120 องศาเซลเซียสเป็นเวลานานจึงจะทำลายได้ ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ไม่สามารถทำได้ในการปรุงอาหารทั่วไป
ดังนั้นแม้จะนำน้ำผึ้งไปผสมในอาหารที่ต้มหรืออบ เช่น ขนมอบ ขนมปัง หรือโจ๊ก ก็ยังไม่ปลอดภัยสำหรับทารก
เข้าใจผิดที่ 3 : “ให้น้ำผึ้งเพียงเล็กน้อยไม่เป็นไร”
ความจริง: แม้เพียงหยดเดียวก็อาจเป็นอันตรายได้ เพราะสปอร์ของเชื้อมีขนาดเล็กมาก และปริมาณเพียงเล็กน้อยก็สามารถก่อโรคได้ในทารกที่มีระบบย่อยอาหารยังไม่เจริญสมบูรณ์
บางพ่อแม่อาจคิดว่าการใช้น้ำผึ้งทาบนจุกนมเพื่อให้ลูกยอมดูดนมจะไม่เป็นไร แต่ความจริงแล้วการทำเช่นนี้เสี่ยงมาก
เข้าใจผิดที่ 4 : “น้ำผึ้งช่วยรักษาไอในเด็กเล็ก”
ความจริง: แม้ว่าน้ำผึ้งจะมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการไอได้จริง แต่ไม่ควรใช้กับเด็กต่ำกว่า 1 ปี สมาคมกุมารแพทย์แนะนำว่าเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไปสามารถรับประทานน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนชาเพื่อบรรเทาอาการไอได้ แต่ต้องไม่ใช้กับทารก
หากลูกอายุต่ำกว่า 1 ปีมีอาการไอ ควรปรึกษาแพทย์แทนการรักษาเองด้วยน้ำผึ้ง
เข้าใจผิดที่ 5: “เด็กไทยทานอาหารที่มีน้ำผึ้งมานานแล้วไม่มีปัญหา”
ความจริง: ความเสี่ยงมีอยู่จริงแม้จะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่เมื่อเกิดขึ้นก็มีความร้ายแรงมาก การที่บางคนโชคดีไม่เกิดปัญหาไม่ได้หมายความว่าการกระทำนั้นปลอดภัย ทีมงานสุวรรณฟาร์มเชื่อว่าดีกว่าป้องกันไม่ให้เกิดเหตุตั้งแต่แรก
ทารกอายุเท่าไรถึงจะรับประทานน้ำผึ้งได้
กฎทองคำ รอจนครบ 1 ปีเต็ม
คำแนะนำจากแพทย์และองค์กรสุขภาพทั่วโลกคือ ให้รอจนเด็กมีอายุครบ 12 เดือนหรือ 1 ปีเต็มจึงเริ่มให้น้ำผึ้ง ณ อายุนี้ระบบทางเดินอาหารของเด็กเจริญพอที่จะทำลายสปอร์ของเชื้อได้
การนับอายุควรนับจากวันเกิดจริง ไม่ใช่การคำนวณตามเดือน ตัวอย่างเช่น หากลูกเกิดวันที่ 15 มกราคม 2567 ควรให้น้ำผึ้งได้หลังวันที่ 15 มกราคม 2568 เป็นต้นไป
วิธีการให้น้ำผึ้งแก่เด็กครั้งแรก
เมื่อลูกอายุครบ 1 ปีแล้ว ทีมงานสุวรรณฟาร์มแนะนำวิธีการให้น้ำผึ้งครั้งแรกอย่างปลอดภัย:
- เริ่มต้นด้วยปริมาณเล็กน้อย ให้เพียง 1/4 – 1/2 ช้อนชาในครั้งแรก เพื่อทดสอบว่าเด็กแพ้หรือไม่
- สังเกตอาการแพ้ หลังให้น้ำผึ้งครั้งแรกควรสังเกตอาการแพ้ เช่น ผื่นขึ้น คันผิวหนัง บวมบริเวณริมฝีปากหรือใบหน้า อาเจียน หรือท้องเสีย
- ผสมกับอาหารที่คุ้นเคย ครั้งแรกควรผสมน้ำผึ้งกับอาหารที่เด็กเคยกินแล้ว เช่น โยเกิร์ต ผลไม้บด หรือโจ๊ก เพื่อให้เด็กคุ้นเคยกับรสชาติใหม่
- ให้ในช่วงเช้าหรือกลางวัน หลีกเลี่ยงการให้อาหารใหม่ในตอนเย็นหรือก่อนนอน เพราะหากมีอาการแพ้จะได้สังเกตและดูแลได้ทันท่วงที
- ไม่ควรให้มากเกินไป แม้เด็กจะชอบรสหวาน ก็ไม่ควรให้น้ำผึ้งมากเกินวันละ 1-2 ช้อนชา เพราะอาจทำให้เด็กเสี่ยงต่อฟันผุและไม่ชอบรับประทานอาหารอื่น
กรณีพิเศษที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำผึ้ง
นอกจากทารกต่ำกว่า 1 ปีแล้ว กลุ่มเสี่ยงอื่นที่ควรระมัดระวังการรับประทานน้ำผึ้ง ได้แก่:
- เด็กที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เด็กที่กำลังได้รับเคมีบำบัด มีโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือรับประทานยาที่กดภูมิคุ้มกัน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนให้น้ำผึ้ง
- เด็กที่แพ้ละอองเกสรดอกไม้ อาจมีความเสี่ยงแพ้น้ำผึ้งได้ เพราะน้ำผึ้งมีละอองเกสรดอกไม้ปนอยู่
- เด็กที่แพ้พิษผึ้ง หากเคยถูกผึ้งต่อยและมีอาการแพ้รุนแรง ควรระวังการรับประทานน้ำผึ้ง
ทางเลือกสำหรับทารกแทนน้ำผึ้ง

หากต้องการความหวานธรรมชาติสำหรับเด็กเล็ก ทีมงานสุวรรณฟาร์มแนะนำทางเลือกที่ปลอดภัย:
1. ผลไม้สดบด
ผลไม้สดเช่น กล้วย แอปเปิ้ล ลูกแพร์ หรือมะม่วง สามารถบดหรือขูดให้เด็กกินได้ ให้ทั้งความหวานและคุณค่าทางโภชนาการ
วิธีเตรียม
- เลือกผลไม้ที่สุกดี ล้างให้สะอาด
- ปอกเปลือกและเอาเมล็ดออก
- บดหรือขูดให้ละเอียดตามวัยของเด็ก
- ให้ทานทันทีหลังเตรียมเสร็จใหม่ๆ
2. น้ำผลไม้สดคั้น (สำหรับเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป)
น้ำผลไม้ที่คั้นสดใหม่และเจือจางด้วยน้ำเปล่า สามารถให้เด็กดื่มได้ในปริมาณพอเหมาะ
คำแนะนำ
- เจือจางน้ำผลไม้กับน้ำเปล่าในอัตราส่วน 1:1
- ควรให้ไม่เกิน 120 มิลลิลิตรต่อวัน
- ให้ในถ้วยแทนขวดนม เพื่อลดความเสี่ยงต่อฟันผุ
- หลีกเลี่ยงน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวจัด เช่น สับปะรด เงาะ
3. นมแม่หรือนมผสมที่เหมาะกับวัย
นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดและหวานพอเหมาะสำหรับทารก มีความหวานจากแลคโตสตามธรรมชาติ
ประโยชน์
- ให้คุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน
- ปลอดภัยและเหมาะสมกับระบบย่อยอาหารของทารก
- มีสารต้านเชื้อและภูมิคุ้มกันจากแม่
- ไม่ก่อให้เกิดปัญหาฟันผุ
4. ข้าวต้มหรือโจ๊กที่ปรุงแบบธรรมชาติ
สำหรับเด็กที่เริ่มกินอาหารเสริมแล้ว ข้าวต้มหรือโจ๊กที่ปรุงจากวัตถุดิบธรรมชาติมีรสหวานอ่อนๆ จากคาร์โบไฮเดรต
วิธีทำโจ๊กเพื่อสุขภาพ
- ใช้ข้าวกับน้ำในอัตราส่วน 1:8
- ต้มจนข้าวเละและนุ่ม
- สามารถเติมผักสับ เนื้อสัตว์บด หรือไข่แดงตามวัย
- ไม่ต้องปรุงรสมาก เด็กจะชินกับรสชาติธรรมชาติ


ผลิตภัณฑ์จากผึ้ง
น้ำผึ้งแท้ 100%
น้ำผึ้งดอกลำไย 30 กิโลกรัม
น้ำผึ้งแท้ 100%
น้ำผึ้งดอกลำไย 7 กิโลกรัม (แกลลอน)
น้ำผึ้งแท้ 100%
น้ำผึ้งดอกสาบเสือ 7 กิโลกรัม (แกลลอน)
น้ำผึ้งดอกลำไย
น้ำผึ้งแท้ดอกลำไย 1000 กรัม ยกโหล Longan Honey 12 pcs
น้ำผึ้งแท้ 100%
น้ำผึ้งแท้ ดอกสาบเสือ 1000 กรัม
น้ำผึ้งดอกลำไย
น้ำผึ้งแท้ดอกลำไย 1000 กรัม
น้ำผึ้งดอกลำไย
น้ำผึ้งแท้ดอกลำไย 500 กรัม
น้ำผึ้งแท้ 100%
น้ำผึ้งแท้ ดอกสาบเสือ 500 กรัม
น้ำผึ้งดอกลำไย
น้ำผึ้งแท้ดอกลำไย 150 กรัม (ขายส่ง 1 โหล = 12 ขวด)
น้ำผึ้งดอกลำไย
น้ำผึ้งแท้ดอกลำไย 250 กรัม (ขายส่ง 1 โหล = 12 ขวด)
น้ำผึ้งแท้ 100%
น้ำผึ้งดอกไม้ป่าสาบเสือ 250 กรัม (ขายส่ง 1 โหล = 12 ขวด)
น้ำผึ้งดอกลำไย
น้ำผึ้งแท้ดอกลำไย 300 กรัม
น้ำผึ้งแท้ 100%
รวงผึ้งแบบเฟรม ขนาดต่อเฟรม 1.4 กก.(บรรจุในกล่อง 10 เฟรม)
น้ำผึ้งแท้ 100%
รวงผึ้งแท้ในน้ำผึ้ง 500 กรัม
น้ำผึ้งแท้ 100%
รวงผึ้งแท้ 300 กรัม จากน้ำผึ้งดอกลำไย
น้ำผึ้งแท้ 100%
กระชายขาวน้ำผึ้ง เครื่องดื่มชงสำเร็จรูป
เกสรผึ้ง
ชาเกสรผึ้งแท้ เครื่องดื่มชงสำเร็จรูป
เกสรผึ้ง
เกสรผึ้งแท้ 100% ขนาด 1000 กรัม
เกสรผึ้ง
เกสรผึ้งกระปุก 750 กรัม
น้ำผึ้งแท้ 100%
เกสรผึ้งแท้ 100% ขนาด 400 กรัม
น้ำผึ้งแท้ 100%
ไขผึ้ง ขนาด 1000 กก.
น้ำผึ้งแท้ 100%
สบู่น้ำผึ้งเสริมใยบวบ 100g. Honey Soap
น้ำผึ้งแท้ 100%
กาแฟสุขภาพ ผสมน้ำผึ้งและนมผึ้ง